สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

️ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง
- คอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- โรคอ้วน
- เบาหวาน
- การสูบบุหรี่
โดยปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของสารอนุมูลอิสระ ( free radicals) ซึ่งเกิดจากภาวะ oxidative stress ในร่างกาย
จากการศึกษา พบว่า การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตหรือพิการจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยผ่านกลไกเกี่ยวกับการลด oxidative stress และการลดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ได้แก่
️ วิตามินอี
: โดยเฉพาะ alpha tocopherol gamma tocopherol tocotrienol เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ละลายในไขมัน ช่วยป้องกันการเกิดกระบวนการ lipid oxidation ที่เปลี่ยนสภาพไขมัน LDL ไปเป็น oxidized LDL ซึ่งทำให้เกิดการอุดตันและแข็งตัวของหลอดเลือด
️ วิตามินซี
: สารต้านอนุมูลอิสะชนิดละลายในน้ำซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง ทำงานร่วมกับวิตามิน E เพื่อลดผลการทำลายของสารอนุมูลอิสระ
️แคโรทีนอยด์
:เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ ต้องได้จากการรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้ที่มีสีสัน เช่นสีเหลือง สีส้ม สีเขียว
️เซเลเนี่ยม
: เป็นสารตั้งต้นในการผลิตกลูต้าไธโอน ( Glutathione) สารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญที่ผลิตได้ในร่างกาย มีบทบาทอย่างสูงในการลดผลเสียของอนุมูลอิสระในร่างกาย
️Lipoic acid
: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน เป็นตัวเชื่อมในการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำและละลายในไขมัน ช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดอุดตัน, ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
️ Coenzyme Q10
: เป็นสารต้านอนุมูอิสระกลุ่มที่ละลายในไขมัน สามารถผลิตได้เองในร่างกายจนถึงอายุ 25 ปีจะลดการผลิตในร่างกายลง โดยเป็นส่วนประกอบของ mitochondrial electron transport chain ช่วยในการสร้างพลังงานในเซลล์ ( ATP) และลดการเกิดภาวะ lipid oxidation โดย coenzyme Q10 จำเป็นต้องทานเสริมในผู้ที่ทานยาลดไขมันในกลุ่ม statin เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลในการลดการผลิต Coenzyme Q10 ในร่างกาย
️ กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิด โอเมก้า-3 และ โอเมก้า-9
: ช่วยลดการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือด และช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด
️โพลีฟีนอล
: มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดลิ่มเลือด และลดการอักเสบของหลอดเลือด
โดยสารต้านอนุมูลอิสระนั้นต้องทำงานร่วมกันเป็นระบบจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการเกิดภาวะการทำลายจากอนุมูลอิสระ
️ ปัจจุบัน เราสามารถตรวจวัดระดับสารต้านอนุมูลอิสระได้ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถช่วยพิจารณาการจัดอาหารเสริมที่เหมาะสมเฉพาะบุคคลเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดภาวะการทำลายของอนุมูลอิสระอย่างเหมาะสม
*** บทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของบจก. เอ็ม.ดี. เฮลท์ แอนด์ บิวตี้ ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

